เมนูอาหารสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย วิธีการปรุงอาหารสำหรับลูกรักของคุณแม่ ต้อนรับฟันน้ำนมชุดแรกด้วย “เมนู อาหาร เด็ก 6 เดือน” พร้อมวิธีทำอาหาร เด็ก 6 เดือนสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เมื่ออายุครบ 6 เดือน นอกจากเจ้าตัวน้อยจะเริ่มใช้เสียงเพื่อสื่อสารถึงอารมณ์ แสดงความสนใจ และเริ่มจดจำใบหน้าที่คุ้นเคยได้แล้ว ในช่วงวัยนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการรับประทานอาหารก้าวแรก โดยลูกน้อยจะเริ่มแสดงความสนใจอาหารและอ้าปากเมื่อถูกป้อนด้วยช้อน ส่วนกลไกของร่างกาย ลูกจะสามารถขยับอาหารจากบริเวณด้านหน้าไปด้านหลังปากเมื่อเคี้ยว ดังนั้น การจัดตาราง อาหาร ทารก 6 เดือนจึงอาจเริ่มจากการเตรียมอาหารบดที่ทำจากส่วนผสมอย่างเดียว เช่น แครอท มันฝรั่ง กล้วย อะโวคาโด มันเทศ หรือข้าวโอ๊ต เป็นต้น เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านการทานอาหารก้าวแรกให้กับลูก
Charunros Foods รับผลิตผงผัก ผงผลไม้ ผงเนื้อสัตว์ และผงปรุงรส เพื่อสุขภาพ ครบวงจร
- เมนูอาหารสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย ให้ลูก 6 เดือน กินอะไรดี?
- เมนู เด็ก 6 เดือน พร้อมวิธีทำสุดง่าย ที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ก็ทำตามได้สบาย ๆ
- "ลูก 1 ขวบกินยาก จะทำอะไรให้ลูกกินดี" เมนูอาหารสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย
- เมนูอาหารเด็ก 1 ขวบขึ้นไป
- วิธีเลือกเครื่องปรุงให้ลูกรัก
- ทำไมไม่ควรปรุงรสอาหารให้ลูกก่อน 1 ขวบ
- ผักโขม สำหรับเด็กน้อย
- เมนูอาหารสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย งาขี้ม่อน
- ทำไมห้ามป้อนน้ำเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน
- บทส่งท้าย
เมนูอาหารสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย ให้ลูก 6 เดือน กินอะไรดี?
สำหรับอาหาร สำหรับ เด็ก 6 เดือน ควรเริ่มจากการกินน้ำนมแม่ หรือนมผง เด็ก แรก เกิด สลับกับการให้อาหาร ทารก 6 เดือนวันละ 1 มื้อ โดยอาจเริ่มให้อาหาร มื้อ แรก ของ ลูก 6 เดือน และดูจากความพร้อมของลูกว่ามีมากน้อยเพียงใด หากลูกยังไม่พร้อม เช่น ป้อนแล้วบ้วนทิ้ง คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรบังคับลูก หรือรีบร้อนใด ๆ อาจให้นมแม่ไปก่อน แล้วค่อย ๆ ให้ลูกเริ่มกินอาหาร เด็ก 6 เดือนทีละน้อย จนลูกเริ่มคุ้นชิน และเลิกปฏิเสธอาหาร
โดยหากเจ้าตัวเล็กไม่ยอมกินอาหารชนิดใด ควรรอ 2-3 วัน จึงค่อยลองป้อนให้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม อาหาร มื้อ แรก ของ ลูก 6 เดือนควรเป็นเมนู เด็ก 6 เดือนที่ทานได้ง่าย มีลักษณะคล้ายน้ำนม เพื่อให้เจ้าตัวเล็กคุ้นชิน และให้กระเพาะ สำไส้ และระบบย่อยอาหารทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและพัฒนาขึ้นตามลำดับ จากนั้นจึงค่อยเพิ่มปริมาณและความหยาบขึ้นทีละน้อย นอกจากนี้ อาหาร เด็ก 6 เดือนยังควรเป็นอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงรส และควรใช้วิธี “นึ่ง” จะดีที่สุด
เมนู เด็ก 6 เดือน พร้อมวิธีทำสุดง่าย ที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ก็ทำตามได้สบาย ๆ
1. ซุปครีมแครอท
แครอทเป็นผักที่อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ทั้งเบตาแคโรทีน วิตามินบี วิตามินอี แคลเซียม ฯลฯ ที่จะช่วยเสริมสร้างระบบกระดูกและฟัน บำรุงผิว บำรุงสายตา ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้เจ้าตัวเล็กแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงเป็นเมนู อาหาร เด็ก 6 เดือนที่เหมาะสำหรับเด็กทุกคน
ส่วนผสม
- แครอท 1/3 หัว
- น้ำนมแม่ หรือ น้ำนมผง เด็ก แรก เกิดที่ลูกทานประจำ
วิธีทำ
- ปอกเปลือกแครอท และซอยเป็นแว่นบาง ๆ
- ต้มน้ำให้เดือด ใส่แครอทลงไปต้มประมาณ 12-15 นาที หรือจนเนื้อแครอทนิ่ม กดแล้วเละ
- นำแครอทมาบดให้ละเอียดด้วยกระชอนตาถี่ 1-2 ครั้ง เติมน้ำต้มลงไปเล็กน้อย ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน
- ผสมน้ำนมแม่หรือน้ำนมผง เด็ก แรก เกิดที่ลูกทานประจำลงไป และจัดเสิร์ฟ
2. ข้าวบด ฟักทอง และตำลึง
ตำลึงเป็นผักที่ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกเป็นผักสวนครัว และเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับเด็ก เนื่องจากมีวิตามินเอ และเบตาแคโรทีนสูง ดีต่อสายตา และป้องกันภาวะโลหิตจางได้ เนื่องจากมีธาตุเหล็กสูง ส่วนฟักทองนั้นมีวิตามินเอสูง ฟอสฟอรัส แคลเซียม และวิตามินซี และคาร์โบไฮเดรตในฟักทอง ช่วยรักษาและบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้อีกด้วย
ส่วนผสม
- ข้าวสวย 1 ช้อนโต๊ะ
- ฟักทองหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำซุปผัก 1/5 ถ้วยตวง
- น้ำนมแม่ หรือ น้ำนมผง เด็ก แรก เกิดที่ลูกทานประจำ
วิธีทำ
- ต้มข้าวสวยกับฟักทองในน้ำซุปผัก จนข้าวแตกตัวเปื่อยและเนื้อฟักทองสุกจนนิ่ม
- นำข้าวต้มและฟักทองมาบด หรือปั่นให้ละเอียด
- ผสมน้ำนมแม่ หรือนมผง สำหรับ เด็ก แรก เกิดลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน เพียงเท่านี้ก็จะได้เมนูอาหาร เด็ก 6 เดือนทำง่าย ๆ และมีประโยชน์สำหรับเจ้าตัวเล็กแล้ว
3. เมนูไข่แดงอารมณ์ดี
ไข่ประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่สำคัญ ซึ่งมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของลูกน้อย รวมถึงมีผลต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ตลอดจนการเจริญเติบโตอย่างสมวัย นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของเม็ดเลือดแดงที่ใช้นำพาออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
ส่วนผสม
- ฟักทอง 1 ช้อนกินข้าว
- แครอท 1 ช้อนกินข้าว
- ผักกาดขาว 1 ใบ
- เนื้อไก่สับ 1 ช้อนกินข้าว
- น้ำนมแม่ หรือ น้ำนมผง เด็ก แรก เกิดที่ลูกทานประจำ
วิธีทำ
- นำฟักทอง แครอท และผักกาดขาวไปสับให้ละเอียด แล้วนำไปต้มให้สุก
- ใส่ไข่แดงและเนื้อไก่สับลงไป
- เติมน้ำนมแม่ หรือ นมผง สำหรับ เด็ก แรก เกิดที่ลูกน้อยทานประจำลงไปเล็กน้อย
- คลุกเคล้าส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน และจัดเสิร์ฟ
สำหรับตาราง อาหาร ทารก 6 เดือน ยังควรมีสารอาหารจากน้ำนมแม่เป็นอาหารหลัก ควบคู่กับการเริ่มเสริมอาหารอ่อน ๆ จากรสชาติธรรมชาติอย่าง 3 เมนู เด็ก 6 เดือนที่นำมาฝากในวันนี้เพื่อเพิ่มทักษะการการเคี้ยว การรู้จักชิมรสชาติ กลิ่นอาหาร และความอ่อนแข็งของอาหารที่ต่างไปจากน้ำนมแม่นั่นเองค่ะ และที่สำคัญการป้อนอาหารเสริมให้ลูกก็เพื่อฝึกให้ลูกได้เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อปาก ในวันแรก อาจเริ่มป้อนเพียง 1 ช้อนกินข้าว แล้วตามด้วยการให้นมแม่จนลูกรู้สึกอิ่ม จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหารวันละ 1 ช้อนกินข้าวไปเรื่อย ๆ จนกว่าลูกน้อยจะสามารถกินได้มื้อละ 5 – 8 ช้อนโต๊ะ โดยเน้นเตรียมอาหารให้ครบ 5 หมู่ และต้องปรุงสุก ไม่ปรุงรสใด ๆ เน้นรสชาติตามธรรมชาติ เพื่อสุขภาพของลูกในระยะยาวนั่นเอง
“ลูก 1 ขวบกินยาก จะทำอะไรให้ลูกกินดี” เมนูอาหารสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย
เมื่อเด็กอายุ 1 ขวบ สามารถกินอาหารได้หลากหลายขึ้น ทั้งลักษณะของอาหารและวัตถุดิบ คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้วัตถุดิบได้หลากหลายขึ้น ทำเมนูคล้ายอาหารผู้ใหญ่ที่ปรุงรสอ่อนๆ หรือใช้รสชาติจากธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ แทนการใช้น้ำตาลหรือซอสปรุงรส ขณะเดียวกันก็อาจจะต้องระวังอาหารบางชนิดที่เด็กอาจจะแพ้ด้วย
“ลูก 1 ขวบกินยาก จะทำอะไรให้ลูกกินดี” หนึ่งในปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ซึ่งมีลูกเล็กต้องเจอ โดยเฉพาะเด็ก 1 ขวบ ที่เริ่มกินอาหารได้หลากหลายและต้องการสารอาหารมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะสนุกกับการทำอาหารให้ลูก แต่ขณะเดียวกันก็ปวดหัวไม่น้อย เมื่อต้องคิดว่าจะทำเมนูอะไรให้ลูก เด็กไม่ชอบกินข้าวจะให้กินอะไรแทนดี มีเมนูสำหรับลูกที่เบื่ออาหารบ้างไหมนะ ลูกจะแพ้อาหารที่เราทำให้กินหรือเปล่า และอีกสารพัดคำถามเกี่ยวกับเมนูอาหารลูกน้อย
เมนูอาหารเด็ก 1 ขวบขึ้นไป
1. “ต้มจืดเต้าหู้หมูสับผักกาดขาว” เมนูเด็ก ทำง่าย กินได้ทุกวัน
ส่วนผสม
- เต้าหู้ไข่, หมูสับ, ผักกาดขาว, แคร์รอต หรือผักชนิดอื่นตามชอบ
วิธีทำ
- ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่หมูสับชิ้นเล็ก ๆ ลงไป
- ตามด้วยผักกาดขาว แคร์รอต และเต้าหู้ไข่ ปิดฝาแล้วต้มจนผักนิ่ม
- ปรุงรสด้วยซอสได้เล็กน้อย หากคุณแม่เลือกปรุงรสด้วยเครื่องปรุงลดโซเดียมก็จะยิ่งดีมากเลยค่ะ
2. เมนูเด็ก สีสันน่ากิน “สปาเกตตีเส้นข้าวกล้องซอสกุ้ง”
ส่วนผสม
- เส้นสปาเกตตีจากข้าวกล้อง
- หมูสับ, กุ้งสด
- มะเขือเทศหั่นเต๋า, แคร์รอตตั่นเต๋า
- ซอสมะเขือเทศ
วิธีทำ
- ต้มเส้นสปาเกตตีให้นิ่ม ลูกจะได้เคี้ยวง่าย ๆ (ทำตามวิธีข้างซอง เพราะแต่ละยี่ห้อไม่เหมือนกัน)
- เมื่อต้มเสร็จแล้วให้พักเส้นไว้ในจานก่อน แล้วมาเตรียมซอสกันต่อเลย โดยผัดหมูสับและกุ้งให้สุก (อาจหั่นกุ้งเป็นชิ้นเล็ก)
- ใส่ซอสมะเขือเทศและซอสปรุงรสได้เล็กน้อย ตามด้วยมะเขือเทศและแคร์รอตที่หั่นไว้
- เติมน้ำซุปลงไปนิดนึงแล้วผัดจนผักนิ่ม เสร็จแล้วราดลงบนเส้นสปาเกตตีได้เลย
3. “ไข่เจียวหรรษา” เมนูเด็ก ถูกใจตัวเล็ก แถมได้สารอาหาร
ส่วนผสม
- ไข่ไก่, แฮม,
- แคร์รอต, ฟักทอง, มะเขือเทศ, พริกหวาน, ข้าวโพด, หรือผักอื่น ๆ ตามชอบ
วิธีทำ
- เริ่มจากหั่นผักที่คุณแม่เลือกให้เป็นเต๋าชิ้นเล็ก ๆ นะคะ ลูกจะได้เคี้ยวง่าย ๆ
- จากนั้นก็เจียวไข่แล้วใส่ผักที่หั่นลงไป เทใส่กระทะได้เลย อาจตั้งเป็นไฟอ่อน เพื่อให้ผักนิ่มและป้องกันการไหม้ด้วย
- เสิร์ฟพร้อมข้าวหุงสุกใหม่ แค่นี้ก็อร่อยแล้ว
วิธีเลือกเครื่องปรุงให้ลูกรัก
เมื่อลูกรักอายุเข้าสู่วัยเริ่มอาหารเสริม ในช่วง 6 เดือน – 1 ขวบ คำแนะนำที่สำคัญในการปรุงอาหารในช่วงนี้คือไม่ควรใส่เครื่องปรุงใด ๆ เพิ่มลงไป เพราะในวัยก่อน 1 ขวบเด็ก ๆ ควรได้รับรสอาหารตามธรรมชาติ เนื่องจากไตยังไม่พัฒนาเต็มที่ การปรุงอาหารในวัยก่อน 1 ขวบจึงส่งผลให้ได้รับโซเดียมมากเกินกว่าที่เด็ก ๆ จะมีความสามารถในการขับออก หรือทำให้ติดรสชาติหวาน ส่งผลเสียต่อการทำงานหนักเกินไปของไตและความเสี่ยงของโรคอื่น ๆ เช่นโรคอ้วนตามมา
จวบจนวัย 1 ขวบเป็นต้นไป ไตของเด็กวัยนี้จะพัฒนาได้เต็มที่มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปรุงรสอาหารได้ โดยควรใส่ใจในการเลือกใช้วัตถุดิบและเครื่องปรุงรส ให้เหมาะสมกับวัย เพราะถึงแม้ไตของเด็กวัยนี้จะพัฒนามากขึ้นแล้ว แต่การใช้วัตถุดิบที่ไม่เหมาะสม ย่อมส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวของเด็กได้ โดยทริคการเลือกหลัก ๆ ก็คือ เลือกวัตถุดิบที่ผลิตจากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงเครื่องปรุงรสที่มีปริมาณโซเดียมมากเกินไป เครื่องปรุงที่มีส่วนผสมของกลูเตน สารสังเคราะห์ ผงชูรส หรือวัตถุกันเสีย เป็นต้น นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษาข้อมูลการแพ้ที่ระบุไว้ที่ฉลากของสินค้าอย่างละเอียด โดยเฉพาะหากเด็ก ๆ อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการแพ้ก็ควรยิ่งต้องพิจารณาตรวจสอบเป็นพิเศษ
ทำไมไม่ควรปรุงรสอาหารให้ลูกก่อน 1 ขวบ
แม้ทารกวัย 6 เดือนขึ้นไปจะเริ่มกินอาหารเสริมอย่าง ข้าว เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ได้ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ แต่การปรุงอาหารให้ลูกในวัยนี้อาจยังไม่เหมาะสมนัก เพราะเด็กกำลังอยู่ในวัยที่พร้อมเรียนรู้รสชาติของอาหารตามธรรมชาติ รสจืดๆของผัก รสหวานอ่อนของข้าวโพด หรือรสเปรี้ยวของน้ำส้ม การปรุงรสมากเกินไปอาจรบกวนประสาทสัมผัสดังกล่าว นอกจากนี้ยังส่งผลเสียด้านอื่นๆ ดังต่อไปนี้
1. ไตของทารกยังทำงานไม่เต็มที่
อวัยวะภายในและระบบต่างๆของทารกช่วงขวบปีแรก จะยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ หากได้รับโซเดียมจากรสเค็มมากเกินไป กลายเป็นภาระให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับโซเดียมส่วนออก หากกินเค็มจัดเป็นเวลานานจะทำให้ไตเป็นพิษ จนลูกอาจมีอาการเซื่องซึม ชัก และสมองบวมได้
2. ติดอาหารรสจัดเมื่อโตขึ้น
เวลาลูกกินน้อย ผู้ใหญ่มักกังวลว่าเป็นเพราะ “อาหารไม่อร่อย” จึงพยายามปรุงแต่ง เติมรสสารพัดให้ดูน่ากิน หากกินรสหวานหรือเค็มจนเคยชิน ทำให้กลายเป็นคนติดรสจัด กินอะไรก็ต้องเหยาะน้ำปลา เติมน้ำตาล ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพในอนาคต จากโรคภัยที่ตามมาเช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคเบาหวาน เป็นต้น
3. กินผักน้อยหรือไม่กินเพราะความจืด
วิตามิน เกลือแร่ และกากใยอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายมีอยู่ในผักต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีรสชาติ หากลูกติดอาหารปรุงรส จะไม่อยากกินผักเพราะรู้สึกว่าไม่อร่อย ทำให้บดบังโอกาสที่ลูกจะได้รับสารอาหารที่ดีไปด้วย
4. ติดขนมกรุบกรอบ
ขนมกรุบกรอบที่วางขายตามร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่มีรสค่อนข้างเค็ม เด็กที่กินอาหารเค็มจนเคยชินมักจะชอบกินขนมพวกนี้ จึงได้รับสารอาหารปรุงแต่งไม่พึงประสงค์เข้าไปด้วย เช่น ผงชูรส สารกันปูด วัตถุแต่งสีและกลิ่นต่างๆ
ผักโขม สำหรับเด็กน้อย
ผักโขม (Amaranth) เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นเดี่ยวมีทรงพุ่ม แตกกิ่งก้านสาขา มีลักษณะกลมๆ โคนมีสีแดงอมน้ำตาล มีก้านใบยาว ออกเรียงสลับโดยรอบๆ มีสีเขียว ลำต้นมีหนามหรือไม่มีหนาม ตามสายพันธุ์ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม ทรงรียาว โคนใบกว้างใหญ่ ปลายใบเรียวรี ผิวใบบางเรียบหรือมีขน มีก้านใบยาว ใบมีสีเขียวหรือสีแดง ตามสายพันธุ์ มีกลิ่นเหม็นเขียว มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน เป็นพืชที่ขึ้นเองในหลายประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยมีพบหลายสายพันธุ์ เป็นพืชผักที่มีมาแต่โบราณ มีประโยชน์สรรพคุณทางยา หลายอย่าง นำมาประกอบอาหารเมนูต่างๆ ได้หลายเมนู
อัศจรรย์ผักโขม! กินง่ายได้ประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กที่พึ่งฝึกกินผัก
เมื่อลูกของเราอายุเกิน 6 เดือน ถึงเวลาที่สามารถทานอาหารที่มีเนื้อสัมผัสได้ ผักแข็งที่ใครๆ ก็ต้องนึกถึง คงไม่พ้นผักโขมใช่ไหมล่ะคะ เพราะผักโขมนั้นอุดมด้วยประโยชน์ ทานง่ายและทำได้หลากหลายเมนู วันนี้เราก็เลยจะมาบอกประโยชน์แบบครบถ้วนของผักโขมกันเลย รวมไปถึงเมนูต่างๆ ที่สามารถนำไปทำให้เจ้าตัวเล็กของเราได้ทานกันง่ายๆ
สารอาหารในผักโขม
- ธาตุเหล็ก
- วิตามินซี, เอ
- กรดอะมิโน
- แมกนีเซียม
- โพแทสเซียม
- แคลเซียม
- ประโยชน์ที่จะได้รับจากผักโขม เพราะเป็นผักที่ทานง่าย และมีประโยชน์สูง ดังนั้นข้อดีในการที่เจ้าตัวเล็กของเราได้ทานผักโขมเป็นผักอันดับแรกๆ เลยก็จะช่วยให้เรื่อง
- บำรุงเลือด, ลดการเกิดภาวะโลหิตจาง
- ช่วยระบบเผาผลาญให้ดีขึ้น ไม่ก่อให้เกิดไขมันสะสม
- เสริมสร้างกระดูกและฟัน
- ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
- ทำให้ขับถ่ายง่าย
ในกรณีที่เจ้าตัวเล็กมีปัญหาเกี่ยวกับไตหรือทางเดินอาหารต้องปรุงอาหารที่มีส่วนผสมของนมจึงจะไม่เป็นไร
เมนูผักโขมแนะนำสำหรับเจ้าตัวเล็ก
อายุ 6 เดือนขึ้นไป
- ซุปผักโขม สูตร : ผักโขมต้ม +นมแม่ ปั่นรวมเข้าด้วยกันก็ได้ซุปผักแล้ว
- ข้าวบดผักโขม สูตร : ผักโขมต้ม + ข้าวสวย + นมแม่ + ไข่แดงสุก บดทุกอย่างให้เป็นเนื้อละเอียดและนำมารวมกัน
อายุ 1 ขวบขึ้นไป
- ซุปครีมผักโขม สูตร : ผักโขมต้ม + นมแม่ + เนย + หัวหอมต้ม นำทุกอย่างมาผสมบดรวมกันให้ละเอียดพร้อมอุ่นร้อนก็ทานได้แล้ว
- ข้าวต้มผักโขม สูตร : ผักโขมซอยให้ละเอียด + ข้าว + เนื้อปลาขาว + เกลือ + งาดำ เริ่มจากต้มข้าวและผักให้นิ่มจนเกือบ, ใส่เนื้อปลาตามลงไปให้สุก ก่อนปรุงรสด้วยเกลือและงาดำ
อายุ 2-3 ขวบ
- ผักโขมอบชีส สูตร : ผักโขมต้มและบีบน้ำออก (ซอยให้ชิ้นเล็ก ทานง่าย ) + เนย + นม + หัวหอม + เกลือ + ชีสสำหรับเด็ก นำเนยกับหัวหอมผัดให้เข้ากันจนสุกดี และตามด้วยนม, กวนทุกอย่างจนเข้ากันและปรุงรสด้วยเกลือดพร้อมทั้งใส่ผักโขมลงไป หลังจากนั้นตักใส่จานหรือถ้วยและโรยด้วยชีสนำไปเข้าเตาอบหรือไมโครเวฟจนชีสละลายเยิ้มน่าทาน
- ผักโขมผัดหมูซีอิ๊ว สูตร : ผักโขมหั่นขนาดพอดีคำ + กระเทียม + หมูสับ + น้ำมัน + ซีอิ๊ว + น้ำตาล วิธีทำก็แสนง่ายเพียงผัดน้ำมันและกระเทียมเข้าด้วยกันก่อนจะนำหมูสับลงไปผัดจนเริ่มสุก ปรุงรสด้วยซีอิ้วและน้ำตาล พอเริ่มเข้าเนื้อดีก็ใส่ผักโขมลงไปผัดด้วยกัน ตักทานพร้อมข้าวสวยนุ่มๆ หรือข้าวต้มอุ่นๆ ก็อร่อยทั้งนั้น
เมนูอาหารสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย งาขี้ม่อน
เมล็ดงาขี้ม่อน คือแหล่งที่ดีของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) ในเมล็ดจะมีน้ำมันอยู่ประมาณ 35–45% ในขณะที่ใบของมันกลับเป็นแหล่งน้ำมันที่น้อยกว่ามาก เนื่องจากมีเพียงแค่ 0.2% เท่านั้น นอกจากนี้เมื่อเทียบกับน้ำมันจากพืชชนิดอื่น น้ำมันเมล็ดงาขี้ม่อน คือมีสัดส่วนกรดไขมันโอเมก้า 3 (ALA) สูงที่สุดอย่างสม่ำเสมอที่ 54–64% ส่วนประกอบของโอเมก้า 6 (กรดไลโนเลอิก) มักจะอยู่ที่ประมาณ 14% และโอเมก้า 9 (กรดโอเลอิก) ก็มีอยู่ในน้ำมันงาขี้ม่อนเช่นกัน ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเหล่านี้มีประโยชน์มากที่สุดต่อสุขภาพของมนุษย์และในการป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง การอักเสบ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น เรามาดูประโยชน์อื่นๆ ของงาขี้ม่อนกันว่ามีอะไรอีกบ้าง
1. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
นอกจากข้าวฟ่าง สรรพคุณจะช่วยบำรุงหัวใจได้แล้ว ไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในงาขี้ม่อนทำให้สมุนไพรนี้มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจได้เช่นกัน เพราะเมล็ดงาขี้ม่อนช่วยลด LDL หรือคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และเพิ่ม HDL หรือคอเลสเตอรอลที่ดีได้ ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยในการรักษาสุขภาพหลอดเลือดไม่ให้แข็งและมีแนวโน้มที่จะสะสมคราบจุลินทรีย์ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของคอเลสเตอรอลในอาหารที่เรากิน ทำให้ไม่สะสมอยู่ในหลอดเลือดแดงที่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพได้
2. ป้องกันมะเร็ง
เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพทั้งหมดในงาขี้ม่อน คือมีความสามารถในการป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยิ่งเราบริโภคสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสในการเป็นมะเร็งก็จะลดลง
4. ต้านอาการซึมเศร้าและดีต่อสมอง
เนื่องจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลังของเมล็ดงาขี้ม่อน น้ำมันจึงมีผลอย่างมากต่อศูนย์โดปามีนในสมองของเรา จึงช่วยให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและช่วยเรื่องความจำ นอกจากนี้ยังพบว่า ALA ที่พบในเมล็ดยังสามารถช่วยลดภาวะซึมเศร้าได้
5. การจัดการอาการปวดข้อและการอักเสบ
กรดไขมันที่มีอยู่ในงาขี้ม่อน ประโยชน์ที่ดีที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อที่ปวดเมื่อยและบวมเป็นประจำ เพราะไขมันที่มีประโยชน์เหล่านั้นช่วยพยุงข้อต่อไม่ให้เจ็บปวดและอักเสบ ช่วยให้ผู้ที่อ่อนแอต่อโรคข้ออักเสบดีขึ้นได้ และมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบในร่างกายได้เหมือนกระชายขาวประโยชน์ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกายได้นั่นเอง
6. เหมาะสำหรับโรคหอบหืด หวัด ภูมิแพ้ และหลอดลมอักเสบ
เมล็ดงาขี้ม่อนประกอบด้วยเควอซิติน ลูโอลิน กรดอัลฟาลิโนลิก และกรดโรสมารินิกจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้เหมาะสำหรับการรักษาระบบทางเดินหายใจและช่วยให้หายใจสะดวก ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมการหลั่งฮีสตามีนในร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ จึงมีประสิทธิภาพในการควบคุมอาการและอาการแสดงของโรคภูมิแพ้ต่างๆ ได้ รวมทั้งอาการคันและน้ำตาไหล น้ำมูกไหล จาม และแม้กระทั่งหายใจหอบถี่
ทำไมห้ามป้อนน้ำเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน
เด็กทารกอายุไม่เกิน 6 เดือน ต้องดื่มน้ำ หรือ ไม่ดื่ม เรื่องนี้คาใจคุณแม่ชาวโซเชียลกันมานาน และหลายคนก็ทำผิดจนเด็กบางคนได้รับอันตรายเข้าโรงพยาบาลกันมาเยอะแล้วค่ะ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีข้อเท็จจริงและคำแนะนำเรื่องการดื่มน้ำของเด็กเล็กมาแนะนำพ่อแม่มือใหม่ค่ะ
นมแม่หรือนมผสมเป็นอาหารหลักของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งในนมแม่หรือนมผสมจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 80% เด็กจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเพิ่มเลยค่ะ เนื่องจากการให้เด็กกินน้ำจะทำให้อิ่มเร็ว และกินนมได้น้อยลง ส่งผลให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์
ป้อนน้ำให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพ
- ขาดสารอาหารที่จำเป็น เมื่อป้อนน้ำให้เด็กเล็กในปริมาณมาก มักจะทำให้เด็กกินนมแม่หรือนมผสมได้น้อยลง และทำให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากการกินนม ลดลงถึงขั้นขาดสารอาหารได้ อีกทั้งยังทำให้คุณแม่มีโอกาสที่น้ำนมจะลดลงจากการที่ลูกดูดนมได้น้อยลงด้วย
- มีโอกาสติดเชื้อทางเดินอาหารจากความสะอาดของภาชนะ และจากน้ำที่สะอาดไม่เพียงพอค่ะ เด็กอายุต่ำกว่า 6-12 เดือน ไม่ควรกินน้ำกรอง หรือน้ำขวดโดยไม่ได้ผ่านการต้มน้ำก่อน เพราะภูมิต้านทานของเด็กยังน้อยมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางอาหาร
- ภาวะน้ำเป็นพิษ ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน การป้อนน้ำให้เด็กมากเกินไปจะทำให้ไตของเด็กซึ่งยังทำงานไม่เต็มที่ ไม่สามารถกรองของเหลวได้ทัน อีกทั้งอาจจะไปเจือจางความเข้มข้นของโซเดียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญของร่างกายที่ช่วยรักษาสมดุลน้ำระหว่างภายในและภายนอกเซลล์ เด็กที่ได้รับน้ำมากเกินกว่าร่างกายจะปรับสมดุลได้ อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อสมอง เกิดสมองบวม และเสียชีวิตได้
สรุปว่า น้ำดื่มไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน เพราะเด็กวัยนี้ได้รับ “น้ำ” จากนมก็เพียงพอแล้ว
คำแนะนำเมื่อแม่ไม่อยากให้ลูกขาดน้ำ และ การเริ่มน้ำดื่มในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป
- แม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในแถบอากาศร้อนก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องป้อนน้ำลูกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือนค่ะ แต่ให้ลูกดื่มนมแม่มากขึ้นได้
- สำหรับเด็กอายุ 6-12 เดือน ที่เริ่มได้รับอาหารเสริมนอกจากนม อาจจะเริ่มให้ดูดน้ำจากแก้วหัดดื่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 1-2 ออนซ์ต่อวัน และควรให้หลังจากการกินอาหารเสริมไม่ควรให้ทดแทนนมแม่หรือนมผสม น้ำดื่มที่ป้อนให้เด็กควรเป็นน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว
- เด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ไม่ควรกินน้ำกรองหรือน้ำขวดโดยไม่ได้ผ่านการต้ม เพราะภูมิต้านทานของเด็กยังน้อย และที่สำคัญควรทำความสะอาดภาชนะแก้วหรือขวดน้ำของเด็กเป็นประจำ เพราะเชื้อโรคจากภาชนะอาจทำให้เด็กท้องเสียได้ หลังอายุ 1 ปี เด็กต้องกินอาหารหลัก 3 มื้อ และนมกลายเป็นอาหารเสริม ถึงเวลานั้นพ่อแม่สามารถให้ลูกดื่มน้ำได้ตามความต้องการของเด็ก
ถ้าลูกเล็กสะอึกจะแก้อาการอย่างไร
- ถ้าลูกสะอึกบ่อยจริง ๆ อาจจะต้องจับเรอให้บ่อยขึ้น เช่น ถ้ากินนมแม่ อาจจับเรอช่วงที่จะสลับเต้า หรือ ถ้ากินนมผสม หากกินไป 2-3 ออนซ์ ยังไม่อิ่ม ลองจับเรอสักครู่ก่อนกินต่อ เป็นต้น
- วิธีอุ้มเรอที่พ่อแม่ใช้บ่อย มี 2 ท่า
ท่าแรก คือ อุ้มพาดบ่า จับลูกพาดขึ้นบ่า มือข้างหนึ่งประคองตัวลูก มืออีกข้างลูบหลังเบาๆ จนกว่าจะเรอ การเดินไปมาจะช่วยให้ลมออกง่ายยิ่งขึ้น
ท่าที่สอง คือ ให้ลูกนั่งตัวตรงบนตัก แล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับประคองคางลูกไว้ โดยให้ตัวลูกเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วใช้มือลูบขึ้นเบาๆ ช้าๆ ลูบจากเอวด้านหลังขึ้นมาจนถึงต้นคอ เพื่อไล่ลม
ถ้าเมื่อไหร่ที่ลองหมดแล้วทุกวิธีก็ไม่หาย คุณพ่อคุณแม่ยังกังวลก็ปรึกษาคุณหมอได้ค่ะ
แหล่งที่มา
บทส่งท้าย
การให้ความใส่ใจกับเมนูอาหารของเด็กในแต่ละช่วงวัย จะช่วยให้ลูกรักของเรามีสุขภาพที่ดี แข็งแรง มีพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย และสมองที่สมวัย การได้รับสารอาหารที่เหมาะสมอย่างครบถ้วนยังช่วยลดโอกาสการเกิดโรคร้ายต่างๆ และยังช่วยสร้างนิสัยการกินที่ถูกต้องให้กับเค้าในอนาคตได้ด้วย
Charunros Foods รับผลิตผงผัก ผงผลไม้ ผงเนื้อสัตว์ และผงปรุงรส เพื่อสุขภาพ ครบวงจร